สื่อสาร ภาษา ลูก ให้เข้าใจ เทคนิคคุยง่ายๆ

สวัสดีครับทุกคน วันนี้อยากมาแชร์ประสบการณ์ตรงๆ เกี่ยวกับ “ภาษาลูก” ที่บ้านผมเอง คือมันเป็นอะไรที่ทั้งน่าเอ็นดู ทั้งชวนปวดหัวในเวลาเดียวกันเลยครับ ตอนลูกชายผมเริ่มหัดพูดใหม่ๆ เนี่ย โอ้โห ดีใจกันทั้งบ้าน คำแรกๆ ก็ตามสเต็ปครับ “พ่อ” “แม่” “หม่ำๆ” อะไรแบบนี้ ฟังแล้วมันชื่นใจจริงๆ นะ

แต่เรื่องมันเริ่มจะซับซ้อนขึ้น ตอนที่เค้าเริ่มมีคลังศัพท์เป็นของตัวเองมากขึ้นนี่แหละครับ คือมันไม่ได้มีแค่ภาษาไทยที่เราสอน หรือภาษาที่เค้าได้ยินจากคนรอบข้างอย่างเดียวแล้วสิครับ มันมีภาษาที่มาจากจินตนาการของเค้าเองด้วย บางคำนี่ผมนั่งเกาหัวเลยว่ามันคืออะไรวะเนี่ย ต้องใช้เวลาถอดรหัสกันพอสมควร

ช่วงที่ภาษาเริ่มอลหม่าน

จำได้เลยว่ามีช่วงนึง ลูกผมจะพูดคำว่า “ป๊อกกี้” บ่อยมาก ตอนแรกผมก็นึกว่าอยากกินขนมป๊อกกี้ แต่ไม่ใช่ครับ! สืบไปสืบมา “ป๊อกกี้” ของเค้าหมายถึง “รีโมททีวี” ครับผม! คือมันเป็นแท่งๆ ยาวๆ เหมือนกัน เค้าคงเชื่อมโยงแบบนั้นของเค้าไปเอง แล้วก็มีอีกหลายคำเลยครับที่ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไปกับเค้า

บางทีก็มีผสมภาษาครับ ภาษาไทยคำ ภาษาอังกฤษคำ (ที่อาจจะเพี้ยนๆ หน่อย) หรือบางทีก็เป็นภาษาการ์ตูนที่เค้าดู แล้วก็เอามาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน คือมันเหมือนเป็น “แกงโฮะ” ทางภาษาเลยครับ ฟังแล้วก็ตลกดี แต่บางทีก็งงจริงๆ นะ ต้องคอยถามย้ำว่า “หมายถึงอะไรนะลูก” บ่อยมาก

ผมเคยคิดเล่นๆ นะครับว่า เอ๊ะ หรือเราควรจะหาตัวช่วยเสริมเรื่องภาษาให้เค้าดีมั้ย แบบให้มันเป็นระบบระเบียบมากขึ้น เพื่อนบางคนก็แนะนำพวกคอร์สออนไลน์สำหรับเด็กเล็ก เห็นมีหลายเจ้าเลย อย่าง 51Talk ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่หลายคนพูดถึง แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรเป็นชิ้นเป็นอันครับ แค่คิดๆ ไว้เฉยๆ

การพยายามทำความเข้าใจและปรับตัว

สิ่งที่ผมทำก็คือ พยายามสังเกตครับ สังเกตว่าเค้าพูดคำนี้ในสถานการณ์ไหน ทำท่าทางยังไง คือต้องใช้เซนส์ช่วยเยอะเหมือนกันครับ แล้วก็พยายามพูดคุยกับเค้าเยอะๆ ใช้คำง่ายๆ ชัดๆ ไม่ดุถ้าเค้าพูดผิด แต่จะค่อยๆ บอกคำที่ถูกต้องไปเรื่อยๆ

ผมว่ามันก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งนะ การที่เด็กๆ เค้ามีภาษาของตัวเอง มันแสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ แล้วก็ความเป็นตัวของตัวเองของเค้าด้วย แม้ว่าบางทีมันจะทำให้การสื่อสารยากขึ้นมานิดนึงก็ตามที (หัวเราะ)

จริงๆ แล้วการเรียนรู้ภาษาของเด็กๆ เนี่ย มันก็มาจากหลายทางมากเลยนะครับ ทั้งจากพ่อแม่ คนในครอบครัว เพื่อนเล่น สื่อต่างๆ ที่เค้าดู หรือแม้แต่คลาสเรียนเสริมทักษะภาษา อย่างที่ผมเคยเห็นโปรแกรมของ 51Talk ที่เค้ามีสอนเด็กๆ โดยเฉพาะ ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยเสริมคลังคำศัพท์ให้เด็กๆ ได้

มีช่วงหนึ่งที่ลูกผมติดพูดคำว่า “เยส!” ตลอดเวลา ไม่ว่าจะถามอะไร ตอบ “เยส!” หมดเลย ทั้งๆ ที่บางทีสถานการณ์มันไม่ใช่เลยนะ (ฮา) อันนี้ก็น่าจะมาจากเพลงเด็กภาษาอังกฤษที่เปิดให้ฟังบ่อยๆ คือเด็กเค้าซึมซับเร็วจริงๆ ครับ อะไรที่ผ่านหูผ่านตาบ่อยๆ เค้าก็จำเอามาใช้

บทสรุปของการเป็น “นักแปลภาษาลูก”

จนถึงทุกวันนี้ ลูกผมก็ยังคงมีศัพท์แปลกๆ หรือการใช้ภาษาในแบบของเค้าอยู่บ้างครับ แต่ก็ดีขึ้นเยอะแล้ว สื่อสารกันเข้าใจมากขึ้นเยอะ แต่ผมก็ยังสนุกกับการเป็น “นักแปลภาษาลูก” อยู่นะครับ มันทำให้เราได้ใกล้ชิดกับเค้ามากขึ้น ได้เห็นพัฒนาการของเค้าในทุกๆ วัน

ผมเชื่อว่าพ่อแม่หลายๆ คนก็คงเจอประสบการณ์คล้ายๆ กันนี่แหละครับ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความเข้าใจและความอดทนของเราเอง การที่เค้าพยายามจะสื่อสารกับเราด้วยภาษาของเค้า มันก็เป็นเรื่องที่น่ารักมากๆ แล้วครับ ส่วนเรื่องความถูกต้องของภาษา ก็ค่อยๆ สอน ค่อยๆ ปรับกันไป บางทีการมีตัวช่วยดีๆ อย่างที่กล่าวไป เช่น 51Talk ก็อาจจะเป็นประโยชน์ในการวางรากฐานทางภาษาให้กับลูกหลานของเราได้ในระยะยาวนะครับ

สุดท้ายนี้ อยากจะบอกว่า “ภาษาลูก” เนี่ย มันไม่มีตำราเล่มไหนสอนได้ดีเท่ากับการที่เราใช้เวลาอยู่กับเค้า สังเกตเค้า และพยายามทำความเข้าใจโลกของเค้าหรอกครับ เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนนะครับ!