โอเค วันนี้อยากมาแชร์ประสบการณ์ตรงๆ เลยนะ เรื่องหนังสือเรียนภาษาอังกฤษเนี่ย เอาจริงๆ นะ ผมก็เหมือนหลายๆ คนนั่นแหละ ที่เริ่มต้นด้วยความฮึกเหิม ไปร้านหนังสือทีไรก็อดใจไม่ไหว ต้องได้ติดไม้ติดมือกลับมาอย่างน้อยเล่มสองเล่มตลอด
ช่วงแรกของการผจญภัยกับตำรา
ตอนแรกๆ เลยนะ ผมก็เริ่มจากไปกวาดซื้อหนังสือดังๆ ที่เค้ารีวิวกันว่าดีนักดีหนา ทั้งแกรมมาร์เอย คำศัพท์เอย หรือแม้แต่พวกหนังสือฝึกสนทนาเฉพาะสถานการณ์ต่างๆ จำได้ว่ามีอยู่ช่วงนึง ชั้นหนังสือที่บ้านนี่เต็มไปด้วยตำราภาษาอังกฤษ คือแบบว่า มองไปทางไหนก็เจอแต่สันหนังสือสีสวยๆ วางเรียงกันเป็นตับ
ความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนกับว่า เฮ้ย! เรามีคลังแสงพร้อมรบแล้วเว้ย! เปิดเล่มแรกด้วยความตั้งใจสุดๆ อ่านไปได้สักพัก ขีดๆ เขียนๆ ทำแบบฝึกหัด โอ้โห สนุก! แต่พอผ่านไปสักอาทิตย์ สองอาทิตย์ ความขยันเริ่มลดลง หนังสือเล่มเดิมก็ยังอ่านไม่จบเลยด้วยซ้ำ

วงจรเดิมๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ
แล้วมันก็เป็นแบบนี้วนไปครับ พอรู้สึกว่าเล่มนี้เริ่มตันๆ หรือเบื่อๆ ก็จะมีความคิดแวบเข้ามาว่า “เอ๊ะ หรือว่าเล่มนั้นจะดีกว่านะ?” แล้วก็จบลงด้วยการไปซื้อเล่มใหม่มาเพิ่มอีก วนลูปไปเรื่อยๆ จนหนังสือบางเล่มนี่ซื้อมายังไม่ได้แกะพลาสติกเลยก็มี ยอมรับตรงๆ ว่าเสียดายตังค์เหมือนกันนะ แต่ตอนนั้นมันเหมือนเสพติดการซื้อไปแล้ว
ผมมานั่งคิดดูนะ ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าเนื้อหาในหนังสือเรียนส่วนใหญ่มันค่อนข้างจะ… อืม… จะว่าไงดีล่ะ มันดูเป็นทางการไปหน่อย หรือบางทีก็แห้งแล้งไปนิดนึง อ่านแล้วมันไม่อิน ไม่เหมือนเวลาเราดูหนัง ฟังเพลง หรืออ่านบทความที่เราสนใจจริงๆ
มีอยู่ช่วงนึง ผมพยายามจะฝืนตัวเองนะ ตั้งเป้าเลยว่าวันนี้ต้องอ่านให้ได้กี่หน้า ต้องท่องศัพท์ให้ได้กี่คำ ผลลัพธ์คืออะไร? เครียดครับ! แล้วสิ่งที่ได้มามันก็อยู่กับเราไม่นาน แป๊บเดียวก็ลืม เพราะมันไม่ได้มาจากความเข้าใจจริงๆ มันมาจากการท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทอง
จุดเปลี่ยนและการค้นพบวิธีของตัวเอง
จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมลองเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ผมเริ่มจากเลิกยึดติดกับคำว่า “ต้องเป็นหนังสือเรียนเท่านั้น” คือผมก็ยังใช้หนังสือเรียนอยู่นะครับ ไม่ได้ทิ้งไปไหน แต่มันกลายเป็นแค่เครื่องมือเสริมเท่านั้นเอง
ผมเริ่มจากการหาอะไรที่ตัวเองชอบจริงๆ มาอ่าน มาฟัง อย่างเช่น ผมชอบอ่านข่าวเทคโนโลยี ผมก็จะไปหาเว็บข่าวต่างประเทศมาอ่าน หรือถ้าชอบดูซีรีส์ ก็จะเปิดซับไตเติลภาษาอังกฤษดู แล้วพยายามทำความเข้าใจจากบริบท คำไหนไม่รู้จริงๆ ค่อยไปเปิดดิกชันนารี หรือบางทีก็กลับไปเปิดหนังสือแกรมมาร์ดูว่าโครงสร้างประโยคแบบนี้มันหมายความว่ายังไง

ผลลัพธ์ที่ได้มันดีขึ้นแบบเห็นได้ชัดเลยครับ คือมันไม่รู้สึกเหมือนกำลัง “เรียน” แต่มันเหมือนกำลัง “เสพ” เนื้อหาที่เราสนใจ แล้วภาษาอังกฤษมันก็ค่อยๆ ซึมซับเข้ามาเองโดยไม่รู้ตัว หนังสือเรียนที่มีอยู่ก็เอาไว้เปิดดูเฉพาะเรื่องที่เราสงสัยจริงๆ เช่น อยากจะทบทวนเรื่อง Tense หรือ Conditional Sentences อะไรแบบนี้
- เริ่มจากหาคอนเทนต์ที่เราชอบจริงๆ (หนัง, เพลง, เกม, บทความ)
- พยายามทำความเข้าใจจากบริบทก่อน
- ใช้ดิกชันนารีเมื่อจำเป็น
- ใช้หนังสือเรียนเป็นตัวเสริมความเข้าใจในหลักไวยากรณ์หรือคำศัพท์เฉพาะ
- ที่สำคัญคือ ทำสม่ำเสมอ แม้วันละนิดก็ยังดี
สรุปแล้วนะ จากประสบการณ์ของผม หนังสือเรียนภาษาอังกฤษมันก็มีประโยชน์แหละครับ แต่มันไม่ใช่คำตอบสุดท้ายหรือยาวิเศษอะไรขนาดนั้น อย่าไปคาดหวังว่าซื้อมาแล้วจะเก่งเลยทันที หัวใจสำคัญมันอยู่ที่การเอาไปปรับใช้ให้เข้ากับจริตของตัวเอง แล้วก็หาความสนุกในการเรียนรู้ให้เจอ พอเราสนุกกับมันแล้ว เดี๋ยวทักษะมันก็พัฒนาไปเองแหละครับ เชื่อผมสิ!