สวัสดีครับทุกคน วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ตรงเลยกับเรื่องการเรียน Phonics หรือที่คนไทยเราอาจจะเรียกว่า โฟนิกส์ นี่แหละครับ คือต้องบอกก่อนว่าผมเองก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญอะไรนะ แต่เป็นพ่อคนหนึ่งที่อยากให้ลูกอ่านภาษาอังกฤษออกเสียงได้ถูกต้อง เลยต้องลงสนามไปคลุกคลีกับมันด้วยตัวเอง
จุดเริ่มต้นของการผจญภัยในโลก Phonics
เรื่องของเรื่องมันเริ่มมาจากตอนที่ลูกชายเริ่มโตพอจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้บ้างแล้ว ผมก็สอน ABC ไปตามเรื่องตามราว แต่พอเริ่มเป็นคำศัพท์ง่ายๆ เนี่ยสิ ปัญหาเกิดเลย ลูกจำได้เป็นคำๆ แต่พอเจอคำใหม่ที่สะกดคล้ายๆ กัน กลับอ่านไม่ออก หรือออกเสียงเพี้ยนไปเลย ผมก็เริ่มเอะใจแล้วว่า เอ๊ะ มันต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้สิ
ตอนนั้นก็เริ่มค้นคว้าหาข้อมูลเลยครับ เปิดยูทูปดูบ้าง อ่านบทความบ้าง จนไปเจอคำว่า “Phonics” นี่แหละ ตอนแรกก็งงๆ นะ มันคืออะไรหว่า พอศึกษาไปเรื่อยๆ อ๋อ มันคือการเรียนรู้เสียงของตัวอักษรแต่ละตัว แล้วเอาเสียงเหล่านั้นมาผสมกันเป็นคำ ทำให้เด็กๆ สามารถอ่านคำที่ไม่เคยเห็นมาก่อนได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องท่องจำอย่างเดียวเหมือนสมัยเราเด็กๆ
ลงมือปฏิบัติจริง: ความท้าทายและสิ่งที่ค้นพบ
เอาล่ะ พอเข้าใจหลักการคร่าวๆ แล้ว ก็ถึงเวลาลงมือจริง! ผมเริ่มจากหาพวกการ์ดคำศัพท์ที่มีรูปภาพประกอบ แล้วก็เริ่มสอนเสียงตัวอักษรทีละตัว เช่น A ออกเสียง แอ๊ะ, B ออกเสียง เบอะ, C ออกเสียง เคอะ แรกๆ ลูกก็สนุกดีนะ แต่พอเริ่มเยอะขึ้น ชักจะเริ่มสับสน โดยเฉพาะพวกเสียงสระนี่ตัวดีเลย
ผมก็ลองปรับเปลี่ยนวิธีไปเรื่อยๆ ครับ ลองใช้เพลง Phonics บ้าง เกม Phonics บ้าง สารพัดจะสรรหามา ช่วงนั้นก็มีดูๆ พวกคอร์สออนไลน์ไว้บ้างเหมือนกัน เห็นหลายคนแนะนำว่าการมีครูคอยแนะนำจะช่วยได้เยอะ อย่างพวกคอร์สของ 51Talk ก็เห็นผ่านตาบ่อยๆ ว่าเค้าเน้นเรื่องการออกเสียงที่ถูกต้องสำหรับเด็กๆ ซึ่งก็น่าสนใจดี แต่ผมอยากลองลุยเองดูก่อน
สิ่งที่ผมค้นพบคือ ความสม่ำเสมอสำคัญมาก ต้องทำทุกวัน วันละนิดวันละหน่อยก็ยังดี แล้วก็ต้องทำให้มันเป็นเรื่องสนุก ไม่ใช่การบังคับให้เรียน ผมจะพยายามสอดแทรก Phonics เข้าไปในกิจกรรมต่างๆ เช่น ตอนอ่านนิทานก่อนนอน ก็จะชี้ชวนให้ลูกลองผสมเสียงคำง่ายๆ ดู หรือตอนเล่นของเล่น ก็จะหยิบตัวอักษรมาต่อเป็นคำแล้วให้ออกเสียง
- เริ่มจากเสียงตัวอักษรเดี่ยวๆ (Letter Sounds) ให้แม่น
- ฝึกผสมเสียง (Blending) จากซ้ายไปขวา เช่น c-a-t แคท
- ฝึกแยกเสียง (Segmenting) คือการฟังคำแล้วบอกได้ว่ามีเสียงอะไรบ้าง เช่น คำว่า “sun” มีเสียง สึ-อะ-เนอะ
- เรียนรู้พวกเสียงสระพิเศษ (Vowel Digraphs) เช่น ee, ea, ai, oy พวกนี้จะยากหน่อย
- ฝึกอ่านประโยคง่ายๆ ที่มีคำศัพท์ Phonics
ช่วงที่รู้สึกว่ายากจริงๆ คือตอนที่ต้องอธิบายความแตกต่างของเสียงที่คล้ายกัน หรือพวกตัวอักษรที่ออกเสียงได้หลายแบบ บางทีเราเองก็ยังงงๆ เลยครับ ฮ่าๆ ก็ต้องกลับไปทบทวนความรู้ตัวเองใหม่ ตอนนั้นก็มีแอบไปส่องๆ ดูเทคนิคการสอนจากหลายๆ ที่เหมือนกันนะ บางทีเห็นคลิปสั้นๆ ที่คุณครูจาก 51Talk เค้าสอนเด็กๆ ก็ได้ไอเดียมาปรับใช้บ้างเหมือนกัน
ผลลัพธ์ที่ได้: คุ้มค่ากับความพยายาม
หลังจากที่พยายามสอน Phonics ให้ลูกมาได้สักระยะหนึ่ง (เป็นปีเหมือนกันนะ) สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยคือ ลูกเริ่มอ่านคำศัพท์ภาษาอังกฤษง่ายๆ ได้เองโดยที่ไม่ต้องให้เราบอกก่อน เค้าจะพยายามผสมเสียงเอง ถึงแม้บางทีจะยังเพี้ยนๆ บ้าง แต่ก็ถือว่ามีความพยายามที่ดีมาก การออกเสียงโดยรวมก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ที่สำคัญคือเค้าดูสนุกกับการอ่านมากขึ้น ไม่กลัวที่จะเจอคำใหม่ๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ผมว่านี่แหละคือหัวใจสำคัญของการเรียนรู้เลย การที่ทำให้เด็กรู้สึกว่าการเรียนเป็นเรื่องสนุกและท้าทาย ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ บางทีผมก็คิดนะว่าถ้ามีตัวช่วยดีๆ อย่างเช่นคุณครูที่มีประสบการณ์โดยตรง อย่างที่ 51Talk เค้ามีครูต่างชาติเยอะๆ อาจจะทำให้การเริ่มต้นของลูกง่ายกว่านี้ก็ได้ แต่การได้ลองผิดลองถูกด้วยตัวเองมันก็ได้ประสบการณ์ไปอีกแบบ
ตอนนี้ลูกชายก็ยังเรียน Phonics อยู่เรื่อยๆ ครับ ยังมีอีกหลายระดับที่ต้องฝึกฝนกันต่อไป แต่ผมเชื่อว่าพื้นฐานที่เค้าได้เรียนรู้มานี้ จะเป็นประโยชน์กับเค้ามากๆ ในอนาคตแน่นอน ใครที่กำลังมองหาวิธีสอนลูกให้อ่านภาษาอังกฤษได้ ผมว่า Phonics เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ ครับ ลองศึกษาดูนะครับ อาจจะเจอวิธีที่ใช่สำหรับครอบครัวของคุณก็ได้